28.4.54

เรื่อง ประเพณีการแต่งงานแบบคริสเตียนไทย

เรื่อง คริสเตียนไทยในบริบทไทย

หัวข้อเรื่อง ประเพณีการแต่งงานแบบคริสเตียนไทย

ผู้เขียน ศจ.วิชา ชานวิทิตกุล



เนื้อหาของการรายงานประกอบด้วย
-บทนำ
-ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานของไทย
-ข้อมูลเกี่ยวกับการผูกเสี่ยวและบายศรีสู่ขวัญ
-การประยุกต์ประเพณีการแต่งงานแบบไทยบนความเชื่อแบบคริสเตียน
-การรดน้ำสังข์
-การผูกข้อมือ
-ข้อควรระมัดระวัง
-เพิ่มเติม


บทนำ
ผมและภรรยาได้มีโอกาสมาทำงานประกาศพระกิตติคุณแก่ชาวไทยในฮ่องกง ตั้งแต่ปี1994 กระทั่งปัจจุบัน ประมาณ 15 ปี จุดหนึ่งที่เราพบและตั้งข้อสังเกตุ คือ สมาชิกผู้เชื่อใหม่ มักจะเป็นคริสเตียนคนแรกของครอบครัว รวมทั้งการเป็นคริสเตียนคนแรกของหมู่บ้านหรือตำบลทีเดียว เราจึงตระหนักถึงปัญญาหาในการปรับตัวของสมาชิกระหว่างความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขา ระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและความเชื่อใหม่ในพระคริสต์เจ้า การสร้างความยอมรับและการใช้โอกาสต่างๆที่จะเป็นสะพานพระกิตติคุณสู่คนในครอบครัวของสมาชิกและญาติมิตรสหายของเขา เราจึงตั้งปฎิภาณว่า ยามใดที่สมาชิกหรือคนในครอบครัวของเขาต้องการคำแนะนำหรือการช่วยเหลือ เราต้องพร้อมที่จะไปช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่เขาทันที ในเวลา 15 ปีในการเลี้ยงดูและฟูมฟักสมาชิก เรามีโอกาสในการช่วยเหลือสมาชิก ในเรื่องการแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานทำบุญและในงานศพด้วย คำถามทีต้องพบเสมอคือ อันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้ พร้อมกับการติติงของญาติผู้ใหญ่ ในทำนองว่า ถ้าไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะไม่กตัญญูหรือไม่รักษาประเพณีโบร่ำโบราณ เป็นต้น เราจึงฉวยการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การรักษาความเชื่อในพระคริสต์เจ้าและแบบอย่างการรักษาวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น บนความเชื่อแบบคริสตชนไทยในบริบทไทย ในโอกาสนี้ผมจึงขอแบ่งปันประสพการณ์การรับใช้พระเจ้าพร้อมกับการประยุกต์ประเพณีไทยให้เข้ากับความเชื่อของคริสตชน รวมทั้งเป็นสะพานพระกิตติคุณสู่คนในครอบครัวของสมาชิกและญาติมิตรสหายที่ได้เข้ามาร่วมในประเพณีการแต่งงานแบบคริสเตียนไทย


ข้อมูลประเพณีการแต่งงานและการผูกเสี่ยวของไทย
พิธีมงคลแต่งงาน
การแต่งงาน เป็นประเพณีที่สำคัญสำหรับวิถีชีวิตไทย เพราะเป็นการบ่งบอกว่าผู้ที่แต่งงานนั้นมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความรับผิดชอบมากขึ้น และพร้อมที่จะเป็นครอบครัว รับผิดชอบชีวิตอีกหลายคนเพิ่มขึ้นนอกจากชีวิตของตนเอง และยังได้ทำหน้าที่แสดงความสามารถ ตามบทบาทของตนเองในฐานะหัวหน้าของครอบครัว มีผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยอมรับและสังคมต้องรับรู้ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ประเพณีการแต่งงานจึงจำเป็นต้องจัดให้มีลำดับขั้นตอนดังนี้
พิธีกรรมตามขั้นตอนของประเพณีไทย เริ่มตั้งแต่
• การทาบทาม สู่ขอ
• การหมั้น และแต่งงาน
การทาบทามสู่ขอ ในพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมไทยนั้น การสู่ขอ เปรียบเสมือนด่านแรกของการเริ่มต้นชีวิตคู่ระหว่างคนสองคน โดยฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า เถ้าแก่ หรือ เฒ่าแก่ มาทำการทาบทามสู่ขอว่าที่เจ้าสาวจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ซึ่งการสู่ขอในสมัยโบราณนั้นถึงกับต้องมีการเลียบเคียงด้วยวาจาอันไพเราะ ถ้าหากว่าการเจรจาผ่านไปได้ด้วยดี ฝ่ายหญิงไม่ขัดข้อง ก็จะมีการตกลงกันเรื่องสินสอดทองหมั้น และการหาฤกษ์หายามสำหรับจัดพิธีมงคลแต่งงานต่อไป
จากประเพณีการแต่งงานที่จัดทำเป็นพิธีการขั้นตอนต่าง ๆ นั้น จึงนับว่ามีความสำคัญมาก และเป็นประเพณีที่งดงามเหมาะสม แสดงถึงความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมด้านจิตใจ และวัฒนธรรมทางด้านวัตถุของบรรพบุรุษของไทยเราที่มองการณ์ไกล และมีความละเอียดอ่อน โดยธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิตแล้วย่อมมีความต้องการทางเพศสัมพันธ์ และต้องการสืบสกุลต่อไปด้วย จึงทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างคนกับสัตว์ และขณะเดียวกันกฎหมายและประเพณีไทยเราจึงต้องกำหนดกฎเกณฑ์ของบุคคลที่จะทำการแต่งงานได้ จะต้องมีเงื่อนไขอีกหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
1. การแต่งงานจะกระทำได้ ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปี บริบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีเหตุสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการแต่งงานก่อนนั้นได้ (ป.พ.พ.ม. 1448)
2. การแต่งงานจะกระทำมิได้ ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ (ม.1449)
3. ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะแต่งงานกันไม่ได้ โดยให้ถือความเป็นญาติตามสายโลหิต ไม่คำนึงว่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
4. ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะแต่งกันกันไม่ได้ (ม. 1451)
5. ชายหรือหญิงจะทำการแต่งงานในขณะที่ตนมีคู่แต่งงานอยู่ไม่ได้ (ม. 1452)
6. หญิงที่สามีตายหรือที่การแต่งงานสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะทำการแต่งงานใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการแต่งงานได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน หรือคลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น หรือแต่งงานกับคู่คนเดิม หรือได้มีใบรับรองของแพทย์ประกาศนียบัตร หรือปริญญาบัตรระบุไว้ว่าไม่มีครรภ์ตลอดจนมีคำสั่งของศาลให้ทำการแต่งงานได้
7. เงื่อนไขเกี่ยวกับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง (ตาม ม. 1436) มาตรา 1455 การให้ความยินยอมให้ทำการแต่งงานกระทำได้ แต่จะต้องมีการลงลายมือชื่อในทะเบียนขณะจดทะเบียนสมรส และผู้ปกครองจะต้องทำเป็นหนังสือแสดงความยินยอม โดยระบุชื่อผู้แต่งงานและผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายและลงลายมือชื่อของผู้ให้ความยินยอมด้วย สุดท้ายถ้าหากมีเหตุที่จำเป็น จะให้ความยินยอมด้วยวาจาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนก็ได้ ความยินยอมนั้นเมื่อเซ็นให้แล้วถอนไม่ได้
8. การแต่งงานตามประมวลกฎหมายนี้ จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนแต่งงานแล้วเท่านั้น ธรรมเนียมไทยนั้น “ การสู่ขอ ” เปรียบเสมือนด่านแรกของการเริ่มต้นชีวิตคู่ระหว่างคนสองคน โดยฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “ เถ้าแก่ ” หรือ “เฒ่าแก่” มาทำการทาบทามสู่ขอ
การหาฤกษ์ยาม
หลังจากผ่านธรรมเนียมขั้นตอน การสู่ขอ โดย เถ้าแก่ แล้ว หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันและตัดสินใจเข้าสู่พิธีแต่งงานกัน แต่ก่อนจะเข้าสู่พิธีแต่งงานจำเป็นจะต้องหาฤกษ์ยามเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว ดังนั้นญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะต้องเอา วัน เดือน ปี ไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางดวงชะตา หรือไปให้โหรดูว่าจะเหมาะสมกันหรือไม่ อยู่ด้วยกันแล้วจะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรม เมื่อเห็นว่าเป็นคู่ที่ไปกันได้หรือมีความเหมาะสมกันก็จะหาฤกษ์ที่จะให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันอย่างเจริญรุ่งเรืองตลอดไป โดยหาฤกษ์วันเวลาที่ยกขันหมาก ฤกษ์หมั้น ฤกษ์รดน้ำสังข์ และส่งตัวคู่บ่าวสาวไว้เรียบร้อย เพื่อสะดวกในการดำเนินงานตามพิธีการ และเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว เพื่อให้ครองคู่กันตลอดชั่วชีวิต ถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร ส่วนมากมักจะแต่งกันในเดือนคู่ เพื่อจะได้อยู่คู่เคียงกันตลอดไปนั่นเอง ยกเว้นเดือน 12 จะไม่นิยมแต่งงานกันในเดือนนี้ เพราะเป็นเดือนที่สุนัขมันติดสัดกัน และถ้าเป็น ข้างขึ้น ถือว่าดีกว่า ข้างแรม เพื่อให้ชีวิตจะได้เจริญรุ่งเรืองสว่างไสว แต่บางทีก็จะแต่งงานกันในเดือน 9 ถือเคล็ดถึงความก้าวหน้า และเดือนที่นิยมแต่งงานกันมากที่สุดก็คือเดือน 6 เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อาจเป็นเพราะบรรยากาศช่วยเป็นใจมากกว่าในฤดูอื่น และเป็นต้นฤดูทำการเพาะปลูกของคนไทย ซึ่งหนุ่มสาวจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการสร้างฐานะร่วมกัน
พิธีหมั้น เมื่อได้ฤกษ์ยามวันมงคลแล้ว ต่อไปก็จะต้องเตรียมพิธีการหมั้นและพิธีมงคลแต่งงานกันต่อไป พิธีหมั้นนั้นเปรียบเหมือนการตีตราหรือการจับจองกันและกัน ก่อนที่จะจูงมือเข้าสู่พิธีวิวาห์ การหมั้นก็คล้ายธรรมเนียม อยู่ก่อนแต่ง ของฝรั่ง ซึ่งจุดประสงค์ก็อยู่ที่การเปิดโอกาสให้คนทั้งคู่ได้ศึกษาอุปนิสัยใจคอกันมากขึ้น รู้จักเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อชีวิตคู่ในอนาคต พิธีหมั้นอาจจัดควบคู่กับพิธีสู่ขอหรืออาจจัดในช่วงเช้าของวันแต่งงานเลยก็ได้ แต่พิธีหมั้นที่นิยมก็คือการหมั้นแล้วแต่งเลยในวันเดียวกัน เพราะถือเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดในการเตรียมงานคู่กันไป
การเตรียมพิธีการหมั้น
ในธรรมเนียมการหมั้นนั้น เท่ากับเป็นการวางมัดจำไว้ว่า หญิงที่ถูกหมั้นหมายแล้วจะไปชอบพอกับใครไม่ได้อีก หรือผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะยกให้ใครอีกไม่ได้เด็ดขาด
การแต่งงานของลูกสาวมักถือเป็นงานออกหน้าออกตาใหญ่โต ฝ่ายหญิงจึงพยายามเรียกร้องของหมั้นที่มีราคาแพง โดยมักจะเรียกเป็น “ ทองคำ ” และเรียกเป็นน้ำหนัก เลยทำให้เป็นคำติดปากมาจนทุกวันนี้ ว่า “ ทองหมั้น ” ซึ่งตามประเพณีถือเป็นของที่เจ้าสาวจะนำไปเป็น เครื่องแต่งตัวในวันแต่งงานนั่นเอง
ส่วนสินสอดนั้น คือ เงินสินสอดและผ้าไหว้ที่ทางฝ่ายหญิงเป็นผู้กำหนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อแม่ แต่มักจะเรียกกันเป็นพิธีตามโบราณคือไม่เกิน 40 บาท เป็นค่าน้ำนม ถ้าเกินกว่านั้นจะถือเป็นการขายลูกสาว ทั้งสินสอดและทองหมั้นจะต้องใส่พานห่อไว้รวมกันเรียกว่า ขันหมากหมั้น
อีกหนึ่งในความสนุกในขบวนขันหมากนั้นอยู่ที่ การกั้นประตูเงินประตูทองของทางฝ่ายหญิง ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นลูกหลานของฝ่ายหญิง โดยนำเอาเข็มขัดหรือสร้อยเงินมากั้นขบวนไว้ไม่ให้ผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ เถ้าแก่ฝ่ายชายจะต้องควักห่อเงินที่เตรียมไว้ให้เป็นรางวัลก่อนจึงจะผ่านได้ โดยประตูท้ายๆ มักจะใช้ทองหรือเพชรกั้น ค่าผ่านทางจึงต้องเพิ่มสูงตามลำดับขั้นตอนตรงนี้อาจมีการหยอกล้อระหว่างญาติฝ่ายหญิงและขบวนของฝ่ายชาย สร้างความครึกครื้นเป็นยิ่งนัก
การเตรียมขันหมาก
ขันหมากเป็นสิ่งจำเป็นในพิธีการแต่งงาน ซึ่งฝ่ายชายจะต้องเตรียมมาโดยจัดเป็นขบวนแห่มาบ้านฝ่ายหญิงในวันพิธีที่จัดงานในช่วงเช้า แล้วแต่ฤกษ์จะเป็นเวลาใด หรืออาจจะใช้ฤกษ์สะดวก ซึ่งปัจจุบันจะไม่เคร่งครัดนัก ขันหมากที่ฝ่ายชายจะเตรียมมาแห่ขันหมากนั้น ประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้
ขันหมากเอก
จะจัดเป็นขันเดี่ยวหรือขันคู่แล้วแต่ประเพณีนิยมของแต่ละท้องถิ่นส่วนใหญ่จะมีขันใส่หมากพลู ขันใส่เงินทองหรือสินสอด และขันใส่สิ่งของอันเป็นมงคล เช่น ถั่ว งา ข้าวเปลือก ใบเงิน ใบทอง ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะดูความหมายที่เป็นมงคล และนิยมจัดเป็นคู่ จะทำให้ดูสวยงามและเป็นมงคลโดยถือเคล็ดจากคำว่า “คู่” นั่นเอง
ขันหมากโท
ได้แก่ พวกของที่ใช้เป็นอาหารและขนม รวมทั้งบริวารขันหมากอื่น ได้แก่ ต้นกล้วย ต้นอ้อย หมู ไก่ เหล้า มะพร้าว ขนมต้มขาว ขนมต้มแดงและยังมีขนมนานาชนิด เป็นจำนวน 10 คู่ขึ้นไป เช่น ขนมเปียก ขนมกวน กาละเม ข้าวเหนียวแดง ฯลฯ แต่ละถาดต้องมีกระดาษสีแดงแผ่นเล็ก ๆ วางปะหน้าไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลขณะที่แห่ขบวนขันหมาก จะมีการโห่ร้องไชโย ขบวนขันหมากต้องหยุดอยู่นอกรั้วบ้าน มีการกั้นประตูทางเข้าบ้าน เจ้าบ่าวต้องเตรียมซองค่าผ่านทาง มีการต่อรองราคาค่าผ่านประตู จะเรียกค่าผ่านทางเท่าไรก็แล้วแต่ตกลงกัน เมื่อขบวนขันหมากเข้าบ้าน จากนั้นต้องนำต้นกล้วยและต้นอ้อยไปปลูก พร้อมทั้งพูดเป็นเคล็ดว่า นำกล้วยอ้อยมาปลูกให้ และรดน้ำให้อย่างดี จะได้มีลูกดกมากมาย ในการนี้ ผู้ปลูกจะขอรางวัลจากเจ้าภาพ เช่น เหล้า เป็นต้นๆ แต่ประเพณีบางแห่งก็จะไม่เอาอาหารซึ่งอาจจะเป็นหมูสามชั้น และขนมที่ใช้ในงานแต่งงาน เพราะเอาความสะดวกจะไม่ค่อยเคร่งนัก แต่ที่ขาดไม่ได้คือเหล้า ต้นกล้วย และต้นอ้อย
ในวันแต่ง เจ้าบ่าว และเพื่อนพร้อมขบวนขันหมากจะไปถึงบ้านเจ้าสาว เมื่อไปถึงจะพบกับการกั้นประตูตามประเพณี โดยฝ่ายหญิงจะจัดญาติ ลูกหลาน หรือเพื่อนเจ้าสาว มากั้นเป็นด่านประตู 4 ด่าน มีประตูเงิน ประตูทองอย่างละคู่ หรือจะใช้เพียง 2 ประตูก็ได้ โดยใช้เข็มขัดเงินและสายสร้อยทองคำกั้น จะมีผู้กล่าวนำซักถามกันตามประเพณี จึงจะปล่อยเจ้าบ่าว และขบวนขันหมากให้ผ่านด่านประตูเข้าไป สุดท้ายก่อนจะเข้าไปในบ้านหรือขึ้นบันไดบ้านก็จะมีเด็ก 2 คนที่ฝ่ายหญิงจัดไว้ให้พรมน้ำที่เท้าเจ้าบ่าว แล้วเจ้าบ่าวจะต้องจ่ายเงินให้ด่านประตูทุกด่านจนกระทั่งถึงการพรมน้ำที่เท้าเป็นอันเสร็จพิธีขบวนการแห่ขันหมาก เมื่อเข้าไปในบ้านเจ้าสาวก็จะมีการรับขันหมากตามประเพณี ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องจ่ายให้คนที่อุ้มขันหมากเอกและขันหมากโทด้วย แต่เน้นให้เงินขันหมากเอกมากกว่า
ตอนเช้าทำบุญเลี้ยงพระ เจ้าบ่าวเจ้าสาวร่วมกันประเคนอาหารถวายพระ เมื่อพระฉันเสร็จและถวายของแล้ว จึงกรวดน้ำร่วมกัน จากนั้นคู่บ่าวสาวจะไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย เพื่อแสดงความคารวะนบนอบต่อบิดามารดาและบรรดาญาติผู้ใหญ่ โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะกราบลงพร้อมกันที่หมอนสามครั้งถ้าผู้รับไหว้เป็นบิดามารดาหรือผู้หลักผู้ใหญ่ แต่หากเป็นญาติคนอื่นๆ ก็จะกราบหนึ่งครั้งโดยไม่ต้องแบมือ จากนั้นจึงส่งพานดอกไม้ ธูปเทียนให้ พ่อแม่ก็จะรับไหว้และให้ศีลให้พรแก่คนทั้งคู่ หลังจากรับไหว้ผู้ใหญ่ก็จะส่งเงินในพานให้บ่าวสาวเพื่อเป็นเงินทุนขั้นตอนนี้ญาติพี่น้องอาจจะสมทบทุนเพิ่มให้ด้วยตามอัธยาศัย ต่อจากนั้นก็ช่วยกันนำถั่วงาและแป้งมาประพรมอวยพร
พิธีรดน้ำ
ถือเป็นการอวยพรความสุขให้คู่บ่าวสาว โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่จะรดให้เจ้าสาวก่อนแล้วจึงรดให้เจ้าบ่าว หลักจากเสร็จพิธีแล้วหากฝ่ายใดลูกขึ้นยืนก่อนก็จะสามารถอยู่เหนือกว่าคู่ของตนเหมือนดังความเชื่อในเรื่องตักบาตรของบ่าวสาวนั่นเอง
พิธีรดน้ำจะต้องมีโต๊ะหมู่บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ปกติจะอยู่ทางขวาของเจ้าบ่าว เมื่อถึงฤกษ์ที่กำหนด คู่บ่าวสาวจะเข้าไปในห้องพิธีพร้อมเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวฝ่ายละ 2 คน จะมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวนำคู่บ่าวสาวไปจุดเทียนชัย ปักธูปและกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วญาติผู้ใหญ่ก็จะพาคู่บ่าวสาวไปนั่งบนตั่งที่จัดไว้ วางแขนลงบนหมอน ยื่นมืออกไปพนมตรงขันรองน้ำโดยหญิงนั่งทางซ้าย ชายนั่งทางขวา ก้มศรีษะลงเล็กน้อย เชิญผู้ใหญ่ที่เป็นประธานมาประกอบพิธีรดน้ำ ประธานสวมพวงมาลัยให้คู่บ่าวสาว รับมงคลคู่มาจบเสร็จแล้วสวมที่ศรีษะของคู่บ่าวสาวคนละข้างและรับโถแป้งกระแจ เอานิ้วหัวแม่มือขวาแตะแป้งที่ผสมน้ำหอมและน้ำมนต์ เจิมลงหน้าบ่าวสาวคนละ 1 แต้มหรือ 3 แต้มก็ได้ พร้อมทั้งอวยพร ต่อจากนั้นก็เชิญแขกเข้ารดน้ำตามลำดับ
เสร็จจากการรดน้ำสังข์แล้วเจ้าภาพจะปลดมงคลคู่เอง หรือจะเชิญประธานหรือผู้อาวุโสคนใดปลดก็ได้แล้วมอบให้คู่บ่าวสาวเพื่อนำไปเก็บไว้บนหัวเตียงนอนของตน หลังจากเสร็จพิธีรดน้ำสังข์หรือหลั่งน้ำพระพุทธมนต์และประสาทพรแล้วก็มีการเลี้ยงฉลองพิธีแต่งงาน สำหรับญาติและแขกที่มาร่วมในงานก็เสร็จพิธี แล้วรอฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว ทั้งนี้ก็จะมีพิธีบ้างเล็กน้อยตามประเพณีของตน เพื่อให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือพาเจ้าสาวส่งให้แก่เจ้าบ่าว พร้อมกับอบรมเจ้าสาวให้เคารพนับถือยำเกรง ซื่อสัตย์ต่อสามี และอบรมเจ้าบ่าวให้รักใคร่ เลี้ยงดูซื่อสัตย์ต่อภรรยา และปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเหมาะสมกับหน้าที่ของสามีที่ดี แล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะกราบผู้ใหญ่ อาจจะมีพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายให้โอวาทต่อไป เจ้าบ่าวก็จะกราบพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย ก็เสร็จพิธีทุกคนจะออกจากห้องหอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่กันตามลำพัง จะได้พักผ่อนเพราะเหนื่อยในงานพิธีมามากแล้ว
พิธีรดน้ำ อาจจะทำได้หลายกรณีแล้วแต่ความสะดวกและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย จะทำพิธีรดน้ำในตอนเช้าหลังจากทำพิธีทางศาสนาแล้ว โดยรดเฉพาะญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือจริง ๆ จะมีจำนวนไม่มากนัก หลังจากนั้นก็เลี้ยงฉลองพิธีแต่งงานสำหรับแขกที่มาในงานก็เสร็จพิธี หรือจะทำพิธีรดน้ำในตอนเย็นเพื่อเป็นการให้ความสะดวกแก่แขกที่มาในงาน แล้วจึงฉลองพิธีแต่งงานก็ได้ คู่บ่าวสาวควรจะไปถึงสถานที่ประกอบพิธีก่อนเวลาพอสมควร
พิธีส่งตัวบ่าวสาว..เข้าห้องหอ
พิธีการส่งตัวเข้าหอ ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวต้องจัดเตรียมปูที่นอนหมอนมุ้งไว้เรียบร้อย แต่ก่อนที่จะส่งตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเข้าสู่ห้องหอ ต้องมีพิธีปูที่นอน โดยเชิญสามีภรรยาที่เป็นที่นับถือ อยู่กินกันมาไม่เคยทะเลาะวิวาททุบตีกัน ครั้งถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาว เมื่อผู้ใหญ่พาเจ้าสาวเข้าไปส่งตัวต้องมีการให้โอวาสแก่เจ้าสาวให้รู้จักเอาใจปรนนิบัติ ฝากเนื้อฝากตัวกับสามี และสอนให้เจ้าบ่าวเอาใจภรรยา ถนอมน้ำใจ รักใครกัน จนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แล้วมอบตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวเจ้าบ่าวกราบผู้ใหญ่เป็นเสร็จพิธี
เมื่อได้ฤกษ์ทำพิธี ผู้ทำพิธีก็จะจัดแจงปูที่นอน จัดหมอน ผ้าห่ม พอถึงฤกษ์เรียงหมอน ผู้ทำพิธีก็จะหยิบเอาสิ่งของมงคลต่างๆ มาวางไว้บนที่นอน ได้แก่
• หินบดยา (มีน้ำใจหนักเหมือนศิลา)
• ฟักเขียว (ให้คู่บ่าวสาวมีใจเย็นเสมือนฟัก)
• ถั่วงา ข้าวเปลือก (มีความเจริญวัฒนา)
หรือในสมัยนี้มักจะนิยมใช้แค่โรยกลีบดอกไม้ลงบนที่นอน จากนั้นผู้ทำพิธีฝ่ายชายก็จะล้มตัวลงนอนทางด้านขวา ฝ่ายหญิงนอนทางด้านซ้าย เป็นการนอนเพื่อเอาเคล็ดแล้วจึงลุกขึ้นโดยแสร้งทำเป็นเพิ่งตื่นนอน ฝ่ายหญิงจะพูดในสิ่งอันเป็นมงคล ฝ่ายชายก็ปลอบขวัญและพากันลุกออกไป ปัจจุบัน การแต่งงานมักไม่มีการสร้างเรือนหอ เจ้าบ่าวก็เลยไม่ต้องนอนเฝ้าหอ ให้ต้องว้าเหว่ในหัวใจแต่งงาน แล้วส่งตัวกันในคืนนั้นทีเดียว รวบรัดสั้นเข้า พิธีมงคลแต่งงาน ก็เป็นอันยุติเพียงนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก
• พวงผกา ประเสริฐศิลป์. ประเพณีไทยกับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสวัฒนธรรมโลก. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏสวนดุสิต, 2542
• ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี, วิทยาลัยครูเพชรบุรี.การอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมในเพชรบุรี. เพชรบุรี : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,วิทยาลัยครูเพชรบุรี.2533
• เงื่อนไขการแต่งงาน (สุพัตรา สุภาพ พิมพ์ครั้งที่ 8, 2536. น. 54-55)
© Copy Right www.panyathai.or.th

ประเพณีผูกเสี่ยว เป็นความเชื่อที่มีอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย เช่น ทางภาคเหนือ รวมถึงบางท้องที่ในภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) มีประเพณีที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ หรือผูกพันกันระหว่างบุคคลทางชีวิตจิตใจ โดยเรียกว่า "เสี่ยว"
ประเพณีผูกเสี่ยว
เสี่ยว แปลว่า "เพื่อนหรือเกลอ" คำว่า ผูกเสี่ยว มีความหมายว่า การผูกมิตรหรือการเป็นเพื่อนกัน
เสี่ยว อาจจะเป็นบุคคลต่างเพศกันก็ได้ ถ้าหากมีความประสงค์จะเป็นเสี่ยวกัน ถ้ายิ่งเกิดเดือน วัน และเวลาเดียวกันก็จะเป็นการดี แก่กว่า หรืออ่อนกว่าจะไม่นิยมใช้คำนี้ สำหรับพิธีกรรมในการปฏิญาณเป็นเสี่ยวสำหรับชาวบ้านทั่วไป ในภาคเหนือปัจจุบันนี้ไม่ ค่อยปรากฏ เมื่อเป็นสหชาติ (เกิดร่วมปีเดียวกัน) ได้มีโอกาสคบหาสมาคมโดยอยู่ใกล้ชิดสนิทสนม ทำงาน ร่วมกันหรือเดินทางไปประกอบอาชีพด้วยกัน มีความรักใคร่ชอบพอกันเป็นพิเศษถึงขั้นไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้ว ก็อาจพูดตกลงกันโดยปากเปล่า ไม่มีพิธีกรรมใดๆ ประกอบก็ได้ เช่นเดียวกับทางภาคอีสาน ก็ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว อาจจะเริ่มต้น จากวิธีง่ายที่สุด คือ เมื่อมีความตั้งใจจริงต่อกัน มีความถูกอกถูกใจซึ่งกันและกัน หรือจิตใจตรงกัน ทั้งสองฝ่ายก็ทำความตกลงลั่นวาจาหรือแสดงออกถึงเจตนาที่จะเป็นเสี่ยวกันได้เลย
ภาคกลาง ชาวไทยภาคกลางโดยทั่วไปมักจะใช้คำว่าเพื่อน แต่บางท้องที่ เช่น ทางภาค กลางตอนบน เช่น จังหวัดตาก เพชรบูรณ์ พิษณุโลก มีการใช้คำว่าเสี่ยว หรือ เกลอ ปะปนกันอยู่บ้าง แต่ถ้า จะให้มีน้ำหนักมีความหมายเสมอกับคำว่าเสี่ยวแล้ว ก็คงใช้คำว่า เพื่อนร่วมน้ำสาบาน เพื่อนร่วมชีวิต มิตรร่วมตาย
ในแถบภาคอีสานตอนใต้ เช่น จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา มีประเพณีความผูกพันธ์ระหว่างเพื่อนในวัยเดียวกัน โดยเรียกฝ่ายชายเรียกว่า "เกลอ" ถ้าเป็นฝ่ายหญิงเรียกว่า "มิเรียะ" (มิตร)
พิธีผูกเสี่ยว หรือเรียกอย่างเป็นทางการก็คือ “พิธีบายศรีสู่ขวัญ” เป็นประเพณีของชาวอีสานที่มีความหมายว่า เป็นการผูกมิตรภาพ สำหรับการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน หรือเป็นการรับขวัญ เรียกขวัญของผู้ที่จากบ้านไปไกลด้วยเวลาอันยาวนาน หรือผู้ที่เพิ่งหายป่วยไข้ให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว พร้อมกับอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข มีอายุมั่นขวัญยืนพร้อมกันไป ทางภาคเหนือทางล้านนามักใช้คำว่า "มิตร แก้ว สหายคำ" ชาวบ้านธรรมดาเรียกว่า " เสี่ยวฮัก เสี่ยวแพง"
พิธีกรรมในการผูกเสี่ยว
โดยทั่วไป จะมีคนแก่หรือผู้อาวุโสที่มีคนเคารพนับถือ ประมาณ 2 - 3 คน เพื่อมาเป็นสักขีพยาน อุปกรณ์จะประกอบไปด้วย ขัน 1 ใบ พร้อมกับน้ำเต็มขัน มีดปลายแหลม พริกแห้ง เกลือ ด้าย 2 เส้น เทียน 2 เล่ม ผู้อาวุโสที่ เป็นสักขีพยานจะนำขันพร้อมด้วยน้ำมา แล้วเอาพริกแห้งและเกลือใส่ในขันน้ำ เอาด้ายวางพาดที่ปากขัน โดยให้มีลักษณะเป็นเครื่องหมายกากบาท แล้วเอามีดปลายแหลมตั้งลงกลางขันน้ำด้วยมือซ้าย และจุดเทียน ทั้งสองเล่มถือด้วยมือขวา หยดเทียนลงในขันน้ำพร้อมกับกล่าว "สักเค" พอกล่าวจบก็เอามีดออกจากขันน้ำ แล้วให้คู่ที่จองเกลอนั้นยกขันขึ้นเหนือศีรษะ แล้วกล่าวคำสาบานโดยมีความหมายว่า เราทั้งสองมาสาบาน ต่อกันว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้าใครคิดคดทรยศต่อกันขอให้คนนั้นต้องมีอันเป็นไป หรือตาย ไปข้างใดข้างหนึ่ง ด้วยคมหอกคมดาบที่วางอยู่ ณ ที่นี้ เมื่อสาบานเสร็จแล้ว ก็ยกขันน้ำขึ้นดื่มน้ำสาบานต่อหน้าผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส ผู้ประกอบพิธีก็ผูกแขน (ข้อมือ) ให้แก่คู่จองเกลอทั้งสองคน เป็นอันเสร็จพิธี
การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญของชาวอีสาน ส่วนใหญ่จะทำโดยการนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ ตั้งบาตรน้ำมนต์เสร็จแล้วประพรมน้ำมนต์ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ถ้ามีศรัทธาพอจะถวายภัตตาหารเช้า หรือเพลพระสงฆ์ด้วยก็ได้ ส่วนการจัดพานบายศรีนั้นจะขาดไม่ได้ ปกติต้องจัดด้วยพานทองเหลือง และมีสัมฤทธิ์ (ขันลงหิน) หลายๆ ใบซ้อนกัน มีใบตอง ดอกไม้สด ด้ายสำหรับผูกข้อมือ อาจจัดเป็นชั้นๆ เช่น 3 ชั้น 5 ชั้น หรือ 7 ชั้น แล้วแต่ความสามารถ แต่คนเก่าคนแก่จะกล่าวว่า ถ้า 3 ชั้นและ 5 ชั้น จะเป็นของคนธรรมดา แต่ถ้า 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น จะสำหรับเชื้อพระวงศ์และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชั้นล่างของพานขวัญจะเป็นพานมีบายศรีทำด้วยใบตอง ดอกไม้ ไข่ต้ม ขนม กล้วย อ้อย ปั้นข้าว เงินฮาง มีด ด้ามแก้ว ชั้น 2, 3, 4 จะได้ตกแต่งด้วยใบศรีและดอกไม้ ซึ่งมักจะเป็นดอกฝาง ดอกดาวเรือง ดอกรัก ใบเงิน ใบคำ ใบคูน ใบยอป่า ส่วนชั้นที่ 5 จะมีใบศรีและด้ายผูกข้อมือ เทียนเวียนหัวทำด้วยขี้ผึ้งของเจ้าของขวัญ
นอกจากพานขวัญแล้วจะมีเครื่องบูชาและอื่นๆ เช่น ขันบูชา มีพานขนาดกลางสำหรับวางผ้า 1 ผืน แพร 1 วา หวี กระจกเงา น้ำอบ น้ำหอม สร้อย แหวน ของผู้เป็นเจ้าของขวัญ สำหรับด้ายผูกข้อมือนั้นต้องเป็นด้ายดิบ นำมาจับเป็นวงยาวพอที่จะพันรอบข้อมือได้ โบราณถือว่าคนธรรมดา วงละ 3 เส้น ผู้ดีมีศักดิ์ตระกูล 5 เส้น เมื่อวงแล้วให้เด็ดหรือดึงให้ขาดเป็นเส้นๆ ห้ามใช้มีดตัดจะใช้มีดตัดได้เฉพาะด้ายที่มัดศพเท่านั้น
ด้ายผูกแขนนี้อย่าพึ่งดึงทิ้งต้องรอให้ผ่านไป 3 วันก่อนแล้วค่อยดึงออก ห้ามทิ้งลงที่สกปรกเพราะถือว่าเป็นของดีของศักดิ์สิทธิ์ควรเก็บรักษาไว้เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันอันตรายได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าพิธีผูกเสี่ยวหรือบายศรีสู่ขวัญนี้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสานที่ร่างเป็นระเบียบแบบแผนไว้ และก็เป็นธรรมดาที่ประเพณีนี้อาจมีความ แตกต่างกันออกไปบ้างขึ้นอยู่กับการพัฒนาและความเจริญโดยให้เหมาะสมกับกาลสมัย แต่มูลฐานของประเพณีนี้ก็ยังคงอยู่และคงต้องเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องรักษามรดกอันสำคัญนี้ให้ยั่งยืนสืบไป เพื่อแสดงถึงการมีวัฒนธรรมอันเป็นชาติบ้านเมืองของเรา จากที่กล่าวมาข้างต้น การผูกเสี่ยวนั้นได้แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของชาวไทยแทบทุกภูมิภาค แต่ที่จะชมได้ง่ายและธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติได้เคร่งครัด ก็คือ ภาคเหนือและภาคอีสาน ที่ยังคงสงวนรักษา ประเพณีอันดีงามนี้ไว้จนถึงทุกวันนี้
การเปรียบเทียบคำว่า "เสี่ยว" กับวัฒนธรรมอื่น อาจทำให้เข้าใจความหมายของคำนี้ได้ดีขึ้น เขายกตัวอย่างของ "เสี่ยว" ในประวัติศาสตร์ เช่น เมื่อ สามกษัตริย์ คือ พญามังราย พ่อขุนรามคำแหง และ พญางำเมือง กรีดเลือดสาบานกันเป็นสหาย อันนำไปสู่การสร้างเมืองเชียงใหม่ การสาบานเป็นสหายครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นความหมายที่เหมือนกับการ "ผูกเสี่ยว" ของอีสาน หรือในครั้ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเชิญผู้ที่เกิดวันเวลาเดียวกับพระองค์ มาร่วมสังสรรค์และดื่มเลือดสาบานเป็น " พระสหชาติ " นั่นก็เป็นความหมายของ "เสี่ยว" ได้เช่นกัน
________________________________________
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
• ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
• คอลัมภ์ข่าวสยามรัฐ
• เว็บไซต์ส่วนบุคคล : เอสพีเอ็ม บีเคเค


© Copy Right www.panyathai.or.th

จากการที่ผมได้มีส่วนนำในการประกอบพิธีสมรสให้สมาชิกคริสตจักรไทยในฮ่องกงที่ภูมิลำเนาของเขาต่อหน้าครอบครัว ญาติพี่น้องและชุมชนในท้องถิ่นนั้น ทั้งในเขตภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน ผมได้เห็นการผสมประสานระหว่างประเพณีการแต่งงานและการผูกเสี่ยว(ผูกขวัญ)เข้าด้วยกัน จึงนำข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับรายละเอียดของประเพณีการแต่งงานและการผูกเสี่ยวรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในพิธีทั้งสองนี้ เพื่อผู้รับใช้พระเจ้าหรือผู้นำในคริสตจักรจะได้ทราบความหมายและความเป็นมาหรือเจตนาของวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อถือของท้องถิ่น เพื่อนำสู่การประยุกต์ให้เหมาะสมกับความเชื่อของคริสตชนและการวางแบบอย่างเพื่อสะพานสู่เกียรติ ศักดิ์ศรี ความศักดิ์สิทธิ์ การยอมรับ แก่สังคมไทยทั่วไปในความเชื่อและประเพณีปฏิบัติของคริตชนไทยในบริบทไทยในการแต่งงาน

การประยุกต์ประเพณีแต่งงานในวัฒนธรรมไทยกับความเป็นคริสตชนไทย
เมื่อเป็นที่รับทราบและตกลงเข้าใจกันระหว่างเจ้าภาพฝ่ายหญิงและเจ้าภาพฝ่ายชาย ที่จะจัดพิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาวแบบคริสเตียนโดยมีอาจารย์จากฮ่องกงมาเป็นผู้ประกอบพิธีให้และกำหนดวันแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมได้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่จะมีพิธีก่อนล่วงหน้า และได้นัดหมายผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายมาหารือกัน ด้วยเรื่องของการจะจัดพิธีด้วยรูปแบบไหนเพื่อรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็จะรักษาความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีปฎิญาณตนต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าและผู้หลักผู้ใหญ่และแขกเหรื่อที่จะมาเป็นสักขีพยาน เช่น จะมีพิธีรดน้ำสังข์หรือใช้บายศรีสู่ขวัญผูกข้อมือ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาวและเป็นหน้าตาของเจ้าภาพ โดยตกลงกันว่าจะเป็นพิธีรดน้ำอวยพรหรือเป็นพิธีผูกข้อมืออวยพร หรือจะทั้งรดน้ำและผูกข้อมือก็ยังสามารถกระทำได้ โดยมีกติกาหลักๆดังนี้
1.ในพิธีรดน้ำ จะไม่ใช้น้ำมนต์ที่ปลุกเสกหรือมาจากวัดโดยเด็ดขาด (อธิบายให้เจ้าภาพบางส่วนเข้าใจว่า ให้ใช้น้ำสะอาดจะเป็นน้ำฝนหรือน้ำประปาก็ไม่ขัด แต่เมื่อได้อธิษฐานขอพรจากพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกในพิธีแล้ว น้ำนั่นย่อมเป็นสัญญลักษณ์อันเป็นมงคลต่อคู่บ่าวสาว มิได้ด้อยกว่าน้ำมนต์โดยเด็ดขาด)
2.ในพิธีจะไม่มีการนิมนต์พระหรือพ่อหมอที่จะประกอบพิธีใดๆ เนื่องจากอาจารย์คริสเตียนจะเป็นผู้ทำหน้าที่นั้น
3.อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธี..ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงไม่ยืมมาจากวัดหรือศาสนสถานอื่นๆได้จะเป็นการดี
4.หากเป็นการผูกข้อมือ ต้องไม่ใช้สายสิญญ์ ซึ่งตามปกติของการผูกเสี่ยว ก็มิได้ใช้สายสิญญ์อยู่แล้ว เพียงแต่ใช้ด้ายดิบซึ่งซื้อหามาจากตลาดหรือปั่นด้ายดิบ(ฝ้าย)เก็บไว้ใช้เองในครัวเรือน
5.กำชับคู่บ่าวสาวให้ทราบว่า ในพิธีปฏิญาณตนนั้น เราปฏิญาณต่อจำเพาะพระพักต์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ข้อแนะนำทั่วไปในงาน
1.ผู้ประกอบพิธีควรสำรวจและทราบข้อมูลต่างๆในงาน เช่น สถานที่ที่จะประกอบพิธี ที่นั่งหรือส่วนของคู่บ่าวสาว ที่นั่งหรือส่วนของผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายชายและหญิง ที่นั่งหรือส่วนของแขกผู้มาร่วมพิธี สถานที่จะมีการจัดเลี้ยง เครื่องเสียงที่จะใช้ขณะประกอบพิธี เป็นต้น
2.ผู้ประกอบพิธีควรทราบถึงขั้นตอนพิธีที่ฝ่ายชายและหญิงจะปฎิบัติร่วมกัน เช่น การตั้งขบวนขันหมาก การเดิน ด่านการะละเล่น การยื่นส่งและรับขันหมาก เป็นต้น
3.ผู้ประกอบพิธีหลังพิธีปฏิญาณ จะมีการส่งเข้าเรือนหอหรือไม่ จะมีส่วนในการให้พรส่งตัวคู่บ่าวสาวหรือไม่
4.ผู้ประกอบพิธี จะมีส่วนใดๆในการเลี้ยงรับรองแขกหรือไม่
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในประเพณีการแต่งงานแบบคริสเตียนไทยในบริบทไทย
-ขบวนขันหมาก เมื่อตรวจตราอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว มีพานวางพระคัมภีร์นำหน้าเพื่อจะนำไปวางที่เวทีด้านหน้าที่จะรดน้ำหรือผูกข้อมือ ขบวนแห่แหน ผู้ประกอบพิธีเดินพร้อมกับเจ้าบ่าว ลำดับขันหมาก เรียงเดินกันเข้ามา (สลับตำแหน่งตามเห็นสมควร)..เสียงขบวนแห่ขันหมากและกลองยาว-ฉิ่ง-ฉาบ.....โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆหิ้ว
-การหยอกล้อพอสมควรของการกั้นด่านก่อนที่เจ้าบ่าวจะเข้าสู่พิธี
-บวนขันหมากทั้งสิ้นถึงที่หมายและส่ง-รับขันหมากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-เริ่มพิธี (อาจเป็นผู้ประกอบพิธีดำเนินการเลยหรือจะมีพิธีกรส่งผ่านขั้นตอนพิธี)
..บัดนี้ได้ถึงเวลาที่จะประกอบพิธีมงคลสมรสระหว่างนางสาว........และนาย.....แล้ว ขอเชิญท่านผู้ใหญ่ฝ่ายชายและหญิงและแขกผู้มีเกียรติได้สงบเงียบ และขออัญเชิญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งจักรวาลและโลกและสรรพสิ่งในโลกทรงเป็นประธานในพิธี..

คำอธิษฐานเปิด...เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาวและแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมเป็นศักขีพยาน ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้สูงสุด ขออัญเชิญพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่ง ทรงพระเมตตาและทรงเป็นองค์ประธานเหนือพิธีการสมรสอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ณ.บัดนี้..
อ่านพระคัมภีร์ (เลือกตอนหนึ่งที่เรามักใช้ในประเพณีการแต่งงานที่คริสตจักร)
ผู้ประกอบพิธี ถามเจ้าบ่าว...ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตรทิพย์กรรณ และต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายชายและหญิงและต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมเป็นสักขีพยาน ท่าน....(ชื่อเจ้าบ่าว) มีความประสงค์จะแต่งงานกับเจ้าสาวผู้มีนามว่า....หรือ??
เจ้าบ่าวตอบ....ข้าพเจ้ามีความประสงค์
ผู้ประกอบพิธี ถามเจ้าสาว...ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตรทิพย์กรรณ และต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายชายและหญิงและต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมเป็นสักขีพยาน ท่าน....(ชื่อเจ้าสาว) มีความประสงค์จะแต่งงานกับเจ้าบ่าวผู้มีนามว่า....หรือ??
เจ้าสาว ตอบ....ข้าพเจ้ามีความประสงค์

เมื่อท่านทั้งสองมีความประสงค์ที่จะแต่งงานกัน ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้และสูงสุดก็จะประกอบพิธีแต่งงาน อันบริสุทธิ์ ศักดิ์ศิทธิ์และเป็นสิริมงคลแก่ท่านทั้งสอง..
(ขั้นต่อมา)อัญเชิญพระวจะของพระเจ้า....และให้หลักคำสอนเกี่ยวกับการครอบครัวและหน้าที่ของสามีภรรยา ตามหลักพระวจนะของพระเจ้า เช่น อ่านจากพระธรรมปฐมกาล บทที่ 1 ข้อ24-28
24 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น
25 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"
27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสรรพสัตว์และให้มนุษย์เป็นผู้ครอบครองดูแล รักษา และพระเจ้าทรงสถาปนาครอบครัวมนุษย์ให้มนุษย์ ดูแลโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง พระองค์ทรงอวยพรสถาบันครอบครัวและให้ครอบครัวเป็นพื้นฐานของอำนาจ การปกปครอง การทำความดี เพื่อความยั่งยืนของสังคมและโลกนี้ เมื่อท่านทั้งสองรักและตั้งใจร่วมชีวิตด้วยกัน นั่นเป็นการแสดงความตั้งใจของท่านทั้งสอง ที่จะสถาปนาครอบครัวใหม่ขึ้น และนี่คือพระปรงสงค์ของพระเป็นเจ้า ท่านทั้งสองจึงสามารถที่จะรับพระเมตตา พระคุณพระพร และรับสิทธิ ิอำนาจในการที่จะมีส่วนร่วมที่จะครอบครองและปกป้องโลกนี้
ข้าพเจ้าจึงขอกำชับให้ท่านทั้งสองตระหนักถึงภาระกิจนี้ ตามหลักแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า
ผู้ประกอบพิธีนำทั้งสองกล่าวปฏิญาณต่อกันและกัน..
เจ้าบ่าวจับมือเจ้าสาวและกล่าวปฎิญาณ
ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตร ทิพย์กรรณ
ต่อหน้าผู้ใหญ่(คุณพ่อ-คุณแม่) ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ ต่อหน้ามิตรสหาย
ผมขอสัญญาว่า ผมจะรับคุณเป็นภรรยาของผม ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะเจ็บป่วยหรือสุขสบาย ผมจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณ จะพยายามทำหน้าที่ของสามีให้ดีที่สุด และจะไม่นอกใจคุณ ผมให้สัญญา
เจ้าสาวจับมือเจ้าบ่าวและกล่าวปฎิญาณ
ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตร ทิพย์กรรณ
ต่อหน้าผู้ใหญ่(คุณพ่อ-คุณแม่) ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ ต่อหน้ามิตรสหาย
ฉันขอสัญญาว่า ฉันจะรับคุณเป็นสามีของฉัน ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะเจ็บป่วยหรือสุขสบาย ฉันจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณ จะพยายามทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด และจะไม่นอกใจคุณ ฉันให้สัญญา
หากมีการสวมแหวนหรือสร้อยคอ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
เจ้าบ่าวสวมแหวนหรือสร้อยให้เจ้าสาวและกล่าวปฎิญาณ
ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตร ทิพย์กรรณ
ต่อหน้าผู้ใหญ่(คุณพ่อ-คุณแม่) ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ ต่อหน้ามิตรสหาย
ผมขอหมอบแหวนวงนี้เพื่อเป็นสัญญลักษณ์แทนใจของผมว่า ผมรับคุณเป็นภรรยาของผม ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะเจ็บป่วยหรือสุขสบาย ผมจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณตลอดไป ผมจะพยายามทำหน้าที่ของสามีให้ดีที่สุด และผมจะไม่นอกใจคุณ ผมให้สัญญา
เจ้าสาวบ่าวสวมแหวนหรือสร้อยให้เจ้าบ่าวและกล่าวปฎิญาณ
ต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงทิพย์เนตร ทิพย์กรรณ
ต่อหน้าผู้ใหญ่(คุณพ่อ-คุณแม่) ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ ต่อหน้ามิตรสหาย
ฉันขอหมอบแหวนวงนี้เพื่อเป็นสัญญลักษณ์แทนใจของผมว่า ฉันรับคุณเป็นสามีของฉัน ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะเจ็บป่วยหรือสุขสบาย ฉันจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณตลอดไป ฉันจะพยายามทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด และฉันจะไม่นอกใจคุณ ฉันให้สัญญา
ตามปกติจะมีการเจิมแป้งที่หน้าผากของคู่บ่าวสาว ซึ่งมักใช้แป้งผุ่นผสมกับน้ำอบหรือน้ำหอม
ผู้ประกอบพิธีกล่าวว่า การเจิมเป็นการแต่งตั้ง เป็นการสถาปนา บัดนี้ ชาย(แต้มหนึ่งจุด)หญิง(แต้มอีกจุด)ได้ปฏิญาณต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ต่อหน้าผู้ใหญ่และแขกผู้มีเกียรติ จึงขอให่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดซึ่งเป็นองค์ประธานในพิธีมงคลสมรสอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์นี้ ปกครองอยู่เหนือทั้งสอง (เจิมแป้งอีก 1จุดเหนือจุดทั้งสอง กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม)
บัดนี้พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่งทั้งปวง ทรงเจิมและสถาปนาแต่งตั้งท่านทั้งสองเป็นสถาบันครอบครัวใหม่ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
หากมีการวางพวงมาลาซึ่งเชื่อมโยงคู่บ่าวสาว ก็ให้ผู้ประกอบพิธีกล่าวตามสมควรเช่น
ข้าพเจ้าผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด ขอผูกพันท่านทังสองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ตามพระเมตตากรุณาคุณของพระเป็นเจ้า ขอให้ความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ สิริมงคล จากพระองค์ผู้สูงสุด ดำรงอยู่กับท่านทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำหรือผูกข้อมือผู้ประกอบพิธีจะอธิษฐานเผื่อประเพณีและกล่าวนำดังนี้
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว ที่จะมีพิธีรดน้ำหรือผูกข้อมือ
...น้ำเป็นของบริสุทธิ์และสะอาด เป็นสัญญลักษ์แห่งชีวิต การชำระและการดำรงอยู่ น้ำจากฟากฟ้าเป็นพรจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานพระพร เพราะคำพรมาจากเบื้องบนและบังเกิดผล ข้าพเจ้าจึงขอเชิญชวนให้ผู้ใหญ่ แขกผู้ผู้มีเกียรติและมิตรสหาย ให้พรแก่คู่บ่าวสาวด้วยพระนามแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะมีคำสัญญาไว้ว่า สิ่งใดที่ท่านขอพระบิดาในนามของเราพระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน..จงขอพรในนามของพระเยซูคริสต์เจ้าและคู่บ่าวสาวนั้นจะได้รับพร
ผู้ประกอบพิธีเป็นผู้รดน้ำอวยพรในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เริ่มต้น...

หากเป็นการผู้ข้อมือผู้ประกอบพิธีกล่าวว่า
เชือกมีสองปลาย พระเจ้าผู้ทรงผูกพันสั่งสองปลายให้มาบรรจบกัน กลายเป็นวงกลมที่ไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นเพื่อเป็นสิริมงคลและพรแก่คู่บ่าวสาว ข้าพเจ้าจึงขอเชิญชวนให้ผู้ใหญ่ แขกผู้ผู้มีเกียรติและมิตรสหาย ให้พรแก่คู่บ่าวสาวด้วยพระนามแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะมีคำสัญญาไว้ว่า สิ่งใดที่ท่านขอพระบิดาในนามของเราพระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน..จงขอพรในนามของพระเยซูคริสต์เจ้าและคู่บ่าวสาวนั้นจะได้รับพร
ผู้ประกอบพิธีเป็นผู้ผูกมืออวยพรในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า เริ่มต้น...
หากในพานบายศรีสู่ขวัญมีทั้งขันน้ำและเทียนมงคล
ผู้ประกอบพิธีสามารถประยุกต์จุดเทียนและกล่าวว่า พระดำรัสของพระเยซูเจ้าตรัสสอนบรรดาสาวกว่า 14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
ท่านทั้งสองจงเป็นความสว่างแก่หมู่ญาติและแก่สังคมที่ท่านอาศัยอยู่..

หลังจากที่เสร็จสิ้นการรดน้ำอวยพรหรือผูกข้อมืออวยพร ให้ผู้ประกอบพิธีอธิษฐานขอพรสรุป ดังนี้
ข้าแต่พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ สูงสุด พระองค์ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีมงคลสมรสอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ผู้สูงสุดในฐานะผู้ประกอบพิธี ขอวิงวอนต่อพระองค์เจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณาและเปี่ยมด้วยพระคุณ ขอพระองค์เจ้าทรงสดับฟังคำพรของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่และบรรดาแขก ญาติมิตรสหายทั้งสิ้น ขอให้พรเหล่านั้นบังเกิดผลและเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว ขอพระกรุณาคุณ ความรักและการทรงนำของพระองค์เจ้า ดำรงอยู่เหนือครอบครัวใหม่นี้ ในพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้า อาเมน..แล้วผู้ประกอบพิธี ประกาศการเป็นสามีภรรยา
ตัวอย่างคำประกาศ
บัดนี้ นาย....และนาง....ได้ผูกพันเป็นสามี-ภรรยา ต่อจำเพาะพระพักตร์และสักขีพยาน ตามประเพณี และตามกฏหมาย เขาทั้งสองจะไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันไว้แล้ว อย่าให้มีผู้ใดบังอาจทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกัน...อาเมน
สามารถให้มีการตบมือต้อนรับครอบครัวใหม่ได้..เป็นอันจบพิธี..
ข้อควรระวัง
อันความเชื่อถือและจารีตประเพณีของท้องถิ่นไทย จะมีข้อห้าม ข้อถือสา สิ่งมงคล สิ่งอัปมงคล อยู่อย่างหลากหลายตามท้องถิ่น ผู้ประกอบพิธี ควรสอบถามเพิ่มเติมจากญาติผู้ใหญ่และจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อความระมัดระวังและเพื่อความสบายใจของแต่ล่ะฝ่าย อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นสะพานแห่งพระกิตติคุณอย่างเหมาะสม น่าเคารพ เกรงขามและเป็นที่นับถือต่อๆไป

ผมหวังว่าการประยุกต์ประเพณีการแต่งงานของไทนให้เข้ากับคริสเตียนไทยในบริบทไทยข้างต้นนี้จะเป็นประโยชน์และแนวทางที่จะเสริมสร้าง พัฒนาต่อไป พร้อมรับข้อคิดเห็นเพิ่มเติมและแนนวทางการประยุกต์ต่างๆซึ่งจะเกิดผลดีต่อการประกาศพระกิตติคุณแก่ชาวไทยในบริบทไทยในที่สุด

ขอบคุณและขอพระเจ้าทรงอำนายพระพรครับ
วิชา ชานวิทิตกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น